Chelation Therapy – ดีท็อกซ์สารพิษในหลอดเลือดดำ
ในปัจจุบันเราต้องเผชิญ กับสภาวะแวดล้อมมีสารมลพิษอยู่มากมาย ทั้งใน อากาศ น้ำ ดิน รวมถึงอาหารที่เรารับประทาน ก็อาจจะมีการปนเปื้อนของสารต่างๆ หรือแม้กระทั่งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ โดยมลพิษที่เรามีโอกาสเข้าสู่ร่างกายของเรานี้ได้แก่สารจำพวก “ โลหะหนัก ” เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู แคดเมียม ฯลฯ โดยการดูดซึมสารพิษ มาจากสาเหตุหลักๆ ได้แก่ ทางปาก หรือระบบทางเดินอาหาร ทางจมูก หรือระบบทางเดินหายใจ และทางผิวหนังซึ่งสารพิษเหล่านี้นี่เองอันเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดการอักเสบต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรา ในจุดที่สารพิษเหล่านั้นสะสมอยู่ และเมื่อปริมาณโลหะหนักในเลือดมีสูงมากเกินไปจนร่างกายไม่สามารถขจัดออกไปได้หมด จนกลายเป็นสาเหตุทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกายได้นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันได้มีวิธีการที่ได้ผลดีในการขจัดสารโลหะหนักออกจากเลือดเป็นการ “ ดีท็อกซ์สารพิษ ” ออกจากเลือด และช่วยฟื้นฟูระบบไหลเวียนในหลอดเลือดให้ดีขึ้น เรียกว่า “ Chelation Therapy หรือ คีเลชั่น ” นั่นเองค่ะ
- Chelation คือ
- Chelation Therapy ช่วยอะไรได้บ้าง
- ข้อดีของ Chelation Therapy
- Chelation Therapy ส่งผลเสีย หรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่
- ขั้นตอนในการทำ Chelation Therapy
- ข้อห้ามข้อควรระวังสำหรับทำ Chelation Therapy
- ความเป็นมาของ Chelation Therapy
Chelation คือ
การทำคีเลชั่นบำบัด Chelation คือ การล้างสารพิษผ่านการให้สารสะลายทางหลอดเลือดดำ หรือที่นิยมเรียกว่า ดีท็อกซ์สารพิษในเลือดนั่นเอง โดยการใช้กรดอะมิโนที่เรียกว่า EDTA (Ethylene diamine tetra-acetic acid) ซึ่งมีความสามารถในการดับจับโลหะหนัก เช่น สารปรอท ตะกั่ว สารหนู และ อีกทั้งยังสามารถดึงสารประกอบแคลเซียมส่วนเกินที่เกาะพอกตัวหนาอยู่ตามผนังหลอดเลือด ให้ขับออกจากร่างกายโดยผ่านทางระบบขับของเสียเช่น เหงื่อ ปัสสาวะ นั่นเองค่ะ
Chelation Therapy ช่วยอะไรได้บ้าง
การกำจัดโลหะหนักจากหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การทำ Chelation ยังทำให้เซลล์ต่างๆในร่างกายสามารถฟื้นฟูได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารคีเลทจะดึงแคลเซียมที่เกาะพอกอยู่ตามผนังหลอดเลือดออกมาจากระบบของเสียในเลือด และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแคลเซียมให้กับกระดูกมากขึ้น ส่งให้กระดูกมีความแข็งแรงมากขึ้น (โดยผู้เฉพาะผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน)
ระหว่างขั้นตอที่สารคีเลทจะถูกกำจัดออกทางท่อไต สารคีเลทจะช่วยชะลอการฟอร์มตัวของไตรกรีเซอไรด์ มีผลช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้อีกด้วย
นอกจากการล้างสารพิษในเลือดยังส่งผลให้ระบบอื่นๆ ทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย เช่น
– ระบบการทำงานของปอดดีขึ้น
– ลดการอักเสบตามบริเวณต่างๆ (เห็นชัดเจนที่สุดคือผิวหนังอักเสบและผิวข้อต่อ)
– ช่วยฟื้นฟูระบบประสาทสัมผัส การรับรู้รสชาติ การได้ยิน จะดีขึ้น
– ลดอาการอ่อนเพลียเรื้อรังให้หายไป (เห็นผลเร็วใน 2 ครั้งที่ทำ)
อันตรายจากโลหะหนักในร่างกาย
- อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรืออาการอื่นๆตามสารโลหะหนักที่ได้รับเข้าไป
- อาการทางระบบทางเดินหายใจและหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง/ต่ำ ปอดบวม ปอดอักเสบ
- อาการทางระบบประสาท เช่น ชามือ/เท้าตามบริเวณแนวเส้นประสาท กล้ามเนื้ออ่อนแรง ความจำเสื่อม หรือสูญเสียความทรงจำชั่วคราว
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งต่อหญิงตั้งครรภ์
- สูญเสียสมดุลการทำงานของตับและไต (ตัวเหลือง บวมน้ำ)
ข้อดีของ Chelation Therapy
- ดีท็อกซ์สารพิษในหลอดเลือด
- ขับโลหะหนักที่ตกค้างในหลอดเลือด
- ลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง
- ทำให้หลอดเลือดสะอาดมีความยืดหยุ่นสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆในร่างกาย
- ลดโอกาสการเกิดโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ หน้ามืด
- ลดอาการอักเสบของผิวหนัง
- ลดการเกิดข้ออักเสบ
- ลดอาการหอบหืด ภูมิแพ้
- ส่งผลให้ประสาทการรับรู้ต่างๆ เช่น รสชาติ ภาพ เสียงดีขึ้น
- บรรเทาอาการเหน็บชา
- ระบบการทำงานของปอดดีขึ้น
- ลดโอกาสเกิดมะเร็ง
- บรรเทาอาการอัลไซเมอร์
- ฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ
- ช่วยให้อาการอ่อนเพลียเรื้อรังหมดไป
Chelation Therapy ส่งผลเสีย หรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่
บางท่านอาจมองว่าเป็นการฉีดเคมีสารคีเลทที่ฉีดเข้าไปในร่างกายกัน ดักจับเพียงโลหะและสารประกอบแคลเซียมที่พอกอยู่ตามผนังหลอดเลือดเท่านั้น ไม่ได้เหนียวนำสารอาหารที่มีประโยชน์ให้หลุดออกมา หรือติดมากับสารคีเลทที่ฉีดเข้าไป ซึ่งสารคีเลทนี้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ และมีค่าครึ่งชีวิตที่สั้นเพียง 45 นาที เท่านั้น (ระยะเวลากว่าที่ร่างกายจะกำจัดออกหมด) การทำ Chelation นั้น ไม่ส่งผลเสียต่อร่างการ จึงสบายใจได้ว่า
“ คีเลชั่นบำบัด นั้น เป็นการบำบัดที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ 100%”
ขั้นตอนในการทำ Chelation Therapy และทำไมต้องที่ THE TOUCH
1. ซักประวัติสอบถามอาการปัจจุบัน และประวัติในอดีตเพื่อให้ทราบถึงข้อห้าม ข้อควรระวังในการรักษา
2. ดำเนินการตรวจเลือดด้วยเครื่อง Live Blood Analysis เพื่อทราบผลเลือดก่อนเข้ารับการรักษา (เป็น progression ในการรักษา)
3. เริ่มดำเนินการทำคีเลชั่นบำบัด โดยการฉีดสารละลายทางหลอดเลือดดำให้กับผู้เข้ารับบริการ ใช้เวลาในการทำประมาณ 3 ชม. (พยาบาลวิชาชีพเป็นผู้ดำเนินการให้สารละลาย)
4. เมื่อครบ 3 ชม. พยาบาลดำเนินการถอดสายน้ำเกลือ สอบถามอาการหลังทำ หากปกติดีสามารถกลับบ้านได้ นัดทุก 1 สัปดาห์
5. จำนวนครั้งที่แนะนำควรทำ 10-15 ครั้ง และนัดตรวจเลือดด้วยเครื่อง Live Blood Analysis อีกครั้งเพื่อวัดผล (ควร 11 ครั้ง ขึ้นไป จะอ่านค่าที่เครื่องได้ชัดเจน)
ข้อห้ามข้อควรระวังสำหรับทำ Chelation Therapy
- ผู้ที่มีภาวะการทำงานของตับและไตบกพร่อง
- ผู้ที่ตั้งครรภ์และในนมบุตร
- ผู้ที่อยู่ในระหว่างการให้เคมีบำบัดหรือฮอร์โมนบำบัด
การปฏิบัติตัวก่อนทำ Chelation Therapy
- ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดๆ สามารถเข้ารับบริการได้ทันที
การปฏิบัติตัวหลังทำ Chelation Therapy
- ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 3 ลิตร ในช่วง 3 วันแรกหลังทำคีเลชั่นบำบัด เพื่อเร่งให้สารคีเลทที่จับกับโลหะหนัก ถูกกำจัดออกทางปัสสาวะ
- ทานอาหารและใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ
อาการไม่พึงประสงค์หลังทำ Chelation Therapy
เนื่องจากสารคีเลทมีการดึงแคลเซียมออกจากระบบไป อาจทำให้มีการอ่อนเพลียในช่วง 1-2 วันแรก แต่อาการดังกล่าวจะหายไปในวันที่ 3 เมื่อร่างกายมีการดึงแคลเซียมจากกระดูกเข้าสู่ระบบดังเดิม
ความเป็นมาของ Chelation Therapy
ในปัจจุบัน ปัญหาหลักที่กระทบคุณภาพชีวิตและสุขภาพของคนเมือง คงหนีไม่พ้นปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศ และอาหารการกินในชีวิตประจำวัน มลพิษเหล่านั้นก็จะเข้าสู่ร่างกายทีละน้อย สะสมทีละเล็กน้อย จนวันใดวันหนึ่งก็ก่อให้เกิดโรคหรือกลุ่มอาการที่เป็นปัญหาสุขภาพและรบกวนการทำงานหากไม่มีการดูแลสุขภาพที่ดีพอ ซึ่งมีการตอบสนองของอาการแตกต่างกันไป เช่น มึนหัว คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ ตาพร่ามัว หรืออาการรุงแรงอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูงขึ้น เหน็บชา เหนื่อยหอบเนื่องจากขาดออกซิเจน
โรงพยาบาลหรือสถาบันความงามในปัจจุบัน จะมีเทคนิคการรักษา (ภาษาคนทั่วไปอาจเรียกว่าการดีทอกซ์สารพิษ) ซึ่งมีหลากหลายวิธี บางวิธีตอบโจทย์เพียงระบบเดียว เช่น การล้างลำไส้ด้วยวิธีสวนทวารหนัก (ColonHydrotherapy) แต่วิธีที่สามารถล้างสารพิษ และโลหะหนักที่เข้ามาในร่างกายในทุกช่องทาง นั่นคือการฉีดสารคีเลท หรือเรียกว่าการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
Q : Chelation ใช้เวลาทำนานไหม ?
A : ให้คีเลชั่นบำบัดด้วยการ Drip เข้าทางเส้นเลือดใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
Q : Chelation ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?
A : 1 ครั้ง / สัปดาห์ แนะนำ 3-5 ครั้งขึ้นไป ขึ้นอยู่กับผลการตรวจเลือดของคุณลูกค้า โดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
Q : ตัวยาที่ใช้ในการ drip 1 ครั้ง ?
A : EDTA CaNa2 ตัวหลักซึ่งมีหน้าที่ในการดับจับโลหะหนัก เช่น สารปรอท ตะกั่ว สารหนู และอีกทั้งยังสามารถดึงสารประกอบแคลเซียมส่วนเกินที่เกาะพอกตัวหนาอยู่ตามผนังหลอดเลือด และถูกกำจัดออกผ่านทางปัสสาวะ
Q : ข้อห้ามข้อควรระวังสำหรับทำคีเลชั่นบำบัด
A : ผู้ที่มีภาวะการทำงานของตับและไตบกพร่อง ผู้ที่ตั้งครรภ์และในนมบุตร ผู้ที่อยู่ในระหว่างการให้เคมีบำบัดหรือฮอร์โมนบำบัด
Q : การปฏิบัติตัวก่อนทำคีเลชั่นบำบัด ?
A : ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดๆ สามารถเข้ารับบริการได้ทันที
Q : การปฏิบัติตัวหลังทำคีเลชั่นบำบัด ?
A : ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 3 ลิตร ในช่วง 3 วันแรกหลังทำคีเลชั่นบำบัด เพื่อเร่งให้สารคีเลทที่จับกับโลหะหนัก ถูกกำจัดออกทางปัสสาวะ
ทานอาหารและใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ
อาการไม่พึงประสงค์หลังทำคีเลชั่นบำบัด
เนื่องจากสารคีเลทมีการดึงแคลเซียมออกจากระบบไป อาจทำให้มีการอ่อนเพลียในช่วง 1-2 วันแรก แต่อาการดังกล่าวจะหายไปในวันที่ 3 เมื่อร่างกายมีการดึงแคลเซียมจากกระดูกเข้าสู่ระบบดังเดิม